หลังจากทริปดำน้ำบนเกาะ ก็ไปเข้าป่ากันบ้าง

ทางรีสอร์ทที่เลมเบ้ใจดีช่วยหารถแท็กซี่ราคาย่อมเยาที่จะไปส่งเรายังที่หมายถัดไป หารถเองคงลำบากเพราะตอนนั้นอยู่บนเกาะ เลยต้องล่ำลานักดำน้ำในกลุ่มตอนขึ้นฝั่งที่ Bintung แล้วแยกตัวตรงไปที่มาม่าโรสโฮมสเตย์ เป็นที่พักแบบเรียบง่ายสุดๆ ไม่ได้สะสวยเริดหรูเลยแม้แต่นิด แต่สะดวกสำหรับการเดินเข้าไปใน Tangkoko ที่จะต้องเดินตอนหลังพระอาทิตย์ตกและก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ไม่งั๊นจะไม่ได้ดูอะไรดีๆ ก็บ้านพักที่นี่อยู่หน้าทางเข้าTangkoko เลยล่ะ ห้องพักมีไม่กี่ห้อง ราคาห้องจะรวมอาหารสามมื้อ อาหารก็เรียบง่าย แบบกินกันหิว
We found from the Lonely Planet guidebook a simple fullboard accommodation: Mama Roos is very simple, but very convenient due to the fact that it's located right by the entrance of Tangkoko national park; just as two others as we found out later. Thanks to Bastianos resort that helped us to get a taxi from Bitung to Mama Roos.
พอเข้าที่พักปุ๊บก็ออกมาเร่ร่อนปั๊บตามเคย ก่อนอื่นก็เดินเข้าไปหารายละเอียดของอุทยาน ได้ความว่าการเดินเข้าไปต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง ซึ่งก็เป็นคนท้องถิ่นนั่นแหล่ะเพราะเจ้าหน้าที่อุทยานจริงๆเห็นมีแต่คนที่ขายตั๋วคนเดียวอะ ไกด์ท้องถิ่นต้องผ่านการจดทะเบียนจากอุทยาน เจ้าหน้าที่เค้าจะจัดคิวให้แบ่งปันรายได้กันไป ตอนไปจองทัวร์มีสาวดัชท์อีกคนเดียวเค้าเลยจัดไกด์ให้สองคน ไกด์หนึ่งคนดูแลนักเดินทางสองคนเท่านั้นเพราะต้องเดินมืดๆการดูแลและอธิบายจะไม่ทั่วถึงถ้าคนในกลุ่มเยอะ ดีจังไม่วุ่นวาย ทริปจะมีสองช่วงคือหัวค่ำและเช้ามืด เพราะของดีที่นี่ซ่อนตัวตอนกลางวันค่ะ
Right after we checked in, we went to the ranger office at the park. We learnt that the ranger staff, who would guide us, were actually guides from the village. We liked the idea of bringing income to poor villagers. One experienced guide would take care of only two visitors during the trekking. There are two types of short trips available: one starts at dusk and the other before dawn. Those rare animals are sleeping during the day!
ได้รายละเอียดเสร็จก็กลับมาทานข้าวกลางวัน ข้าวผัดกะไข่ดาวจืดๆ
หม่ำเสร็จก็ออกไปร่อนอีก เพราะกว่าจะเดินป่ารอบแรกอีกตั้งสองชั่วโมงกว่า จากที่พักเดินผ่านหมู่บ้านไปชายทะเลแค่สิบนาที ระหว่างทางก็ดูหมูหมากาไก่และบ้านคนไปเรื่อยๆ ชาวบ้านน่ารักดูใสซื่อ ส่งยิ้มแล้วก็ทักทาย "Hello!" ตลอดเวลา ตอนแวะซื้อผงช็อกโกแลตจากร้านของชำข้างทาง คนขายคุยใหญ่ว่ารู้จักนักฟุตบอลไทย บอกชื่อมาด้วย เราก็ได้แต่อือๆออๆ แหมห่างไกลบ้านมานานไม่ได้รู้จักแล้วว่าเดี๋ยวนี้ใครดัง
After we got the info, we came back to Mama Roos for lunch. Simple fried rice with fried egg. People like us, who can't really waste time, went for a walk to the beach right after lunch. It was only 10 mins to the beach through a small fishing village. Pigs, dogs, chickens were running around. Villagers were friendly and always greeted us with "Hello" or the equivalent in Dutch.
หาดทรายสีดำที่นี่เกิดจากภูเขาไฟ
ดูสวยไปอีกแบบ แต่น้ำน่ากลัวเพราะคลื่นแรงดูท่าทางลึก ไม่กล้าเดินลงกลัวถูกดูดลงน้ำ เรือชาวประมงจอดเกะกะอยู่ตามหาดมากมาย
น้องหมาตัวนี้ดูมีความสุขกับธรรมชาติเหลือเกิน
เฮ้อ...อิจฉาหมาอีกต่างหาก
The beach is black from volcanic sand.
This dog looked happy and relaxed. I envied it. ;)
เดินอยู่ไม่นานก็เดินกลับเพื่อไปเตรียมตัวเดินป่าดีกว่า ระหว่างทางเดินกลับ เห็นน้องคนนึงเดินกลับบ้านกับคุณยายถือหม้ออะไรก็ไม่รู้ เลยขอดู โอโฮมันสำปะหลังต้มร้อนๆควันฉุยเชียว ด้วยความที่อาหารกลางวันไม่ถูกใจ อาการ
ตะกละกำเริบเลยขอซื้อ คุณน้องส่ายหน้าบอก..พี่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง คุณยายส่งภาษาทำหน้าพยักพเยิดกับน้อง แล้วน้องก็วิ่งหายลับเข้าบ้านไปพร้อมกับหม้อมันต้ม อดสิเราเดินคอตกกลับที่พักกันสองคน ยังไม่ทันเดินผ่านบ้าน คุณน้องส่งเสียงเจื้อยแจ้วถือชามวิ่งตามมา อ้าวยกมันต้มให้เราหมดเลย คราวนี้เราส่ายหน้า ทำไม่ลงค่ะ เห็นเค้ามีแค่นั้น คราวนี้ผลัดกันยื้อ เราไม่อยากเอาเปรียบเค้า เค้าก็ยัดชามใส่มือ ยื้อไปมาน้องเริ่มงง เอ๊ะรึว่าเค้าคิดว่าเรารังเกียจ เลยหยิบมันมาหนึ่งชิ้น ทั้งน้องทั้งคุณยายยิ้มแก้มปริ ซาบซึ้งน้ำใจชาวบ้านจริงๆ มีอีกหลายอย่างนะที่ในทริปนี้ทำให้เรารู้ว่าผู้คนที่ North Sulawesi นี่น่ะ ยังใสๆบริสุทธิ์ไม่รู้จักการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว
I saw a girl carrying a pot of something. My curiosity made me ask her to show it to us. Turned out it was freshly boiled cassava. I wanted to buy some from her, but she refused. Instead, following her grandma's advice, she ran in the house, and came back with a bowl of all of her boiled cassava. It was my turn to refuse but she insisted no matter what I did. Each of us took a small piece to make them happy. There were many incidents that made us realize how pure, innocent and generous the villagers in North Sulawesi were.
เอาล่ะเตรียมตัวเดินดีกว่า ทริปแรกเริ่มเดินตอน 16:30 ที่นี่พอห้าโมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว เลยต้องเริ่มเดินกันเร็วหน่อย เป็นการเดินป่าที่ได้อารมณ์แปลกไปอีกแบบเพราะตอนเดินช่วงแรกๆ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งตลอดเวลา อุทยานนี้อยู่ติดทะเลนี่นา

เดินไปได้หน่อยเจ้าหน้าที่ชี้ให้ดูต้นลางสาด อุ๊ยเพิ่งเคยเห็น มีลูกติดอยู่ด้วย เริ่มมืดแล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้เราเดินเงียบๆเวลาเข้าใกล้ Tarsier ไม่งั๊นเค้าจะไม่ออกมาอวดโฉม ระหว่างเดินก็เจอฝูงลิงดำวิ่งกันไปมาบนต้นไม้ (Black Macaque) แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าว เราก็เงียบกริบกันหมด เพราะลิงสามสี่ตัวมาเดินอยู่ข้างหน้าทางเดินนี่เอง เดินกันตัวเกร็ง เพราะก่อนเข้ามามีป้ายเตือนระวังลิงกัดป้ายเบ้อเร่อ เจ้าหน้าที่บอกให้ค่อยๆเดิน เราเดินรั้งท้าย หัวใจแทบวายเมื่อลิงสามสี่ตัวนั้นเดินมาอ้อมด้านท้ายแล้วหยุดมองหน้า มาซะใกล้ เอ...จะเอาไงกันเนี่ย เราค่อยๆเดินห่างไป ดีนะเค้าไม่ตาม สงสัยตอนแรกนึกว่าพวกเดียวกัน อิ อิ
Tarsiers are nocturnal primates - just 10-15 cm big! To see them, you have to start hiking at dusk. We started at 16:30, and it got dark already at 17:00. Before we saw the Tarsiers, we met a group of black Macaques. Some were right on our path. We were not so sure how to behave since there was a big sign at the entrance of the park warning that they could bite and transfer flu! Our guide told us to walk slowly and calmly. (Indeed we got a terrible flu later, although hardly from the monkeys.)
และแล้วก็ถึงรังของเจ้าลิงตัวน้อย เจ้าหน้าที่ชี้ให้ดู "ไหนคะไหน..." "นั่นไงโดดไวๆบนต้นไม้" โธ่นึกว่าหนู ตัวจิ๊ดเดียวเอง
เจ้าหน้าที่บอกว่ารังนี้มีประมาณ ๖-๗ ตัว อยู่กันแบบครอบครัวพ่อแม่กะลูกๆ โผล่มาโดดเหย็งๆ แล้วก็ผลุบเข้าไป ไม่อยู่นิ่งยังกะลิง ;) ถ่ายรูปกันจนพอประมาณแล้วก็ปล่อยเค้าหากินไป ไม่กวนละ
เค้าไม่ต้องการที่กว้างนักในป่า พื้นที่หากินก็รอบๆรังนั่นเอง แต่ Tarsier ทั่วๆไปก็โดนรุกรานจากการตัดไม้ทำลายป่า และแอบจับขาย ทำให้จำนวนลดน้อยลงไปทุกที เศร้าใจจริงๆ แต่คิดว่าที่อุทยานนี้คงไม่มีใครทำอะไรพวกเค้าหรอกนะ
เอ ชักยาว เดี๋ยวต่อทริปเช้ามืดอีก Post ดีกว่าเนอะTarsiers are often found in a family unit; mother, father, and infant. The mother and father search for food while leaving the infant in the tree nest. Once hunting chores are finished and the day breaks, the family reunites for daytime slumber.
Although they do not require large forest areas, they face threats common to all tropical rainforest animals. Their populations are negatively affected by habitat loss and disturbance, and capture for trade.
It is difficult to say what was the highlight of Tangkoko, but the Tarsiers were surely the highlight of the day. :)
No comments:
Post a Comment